Present Simple Tense
1.
Present Simple Tense (ปัจจุบัน) คือ tense ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ
สมบูรณ์แล้วหรือยัง บอกเล่าข้อเท็จจริงทั่วไป ของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ … โดยมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้างประโยค
ประธาน
+ กริยาช่องที่ 1
ถ้าประธานเป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ +
กริยาช่องที่ 1 เติม s หรือ es
Subject คือ ประธานของประโยค โดยประธานอาจจะแตกต่างกันไปเช่น เป็นคำนาม (noun)
เป็นคำสรรพนาม (pronoun) หรือเป็นประธานชนิดอื่นๆ
โดยประธานจะมี 2 ชนิดคือ
- ประธานเอกพจน์
- ประธานพหูพจน์
- ประธานเอกพจน์
- ประธานพหูพจน์
Verb คือ
กริยาของประธานหรืออาการที่ประธานแสดงออกมาโดยกริยาแท้จะมี 3 ช่อง เช่น
ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3
speak spoke spoken
write wrote write
want watched wanted
watch watched watched
Present Simple Tense ใช้กับกริยาช่องที่ 1 เท่านั้น โดยนำกริยาช่องที่ 1 ไปเติมลงในโครงสร้างต่อจากประธาน
โดยมีข้อระวังอยู่นิดเดียวคือ
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาช่องที่ 1 ของ present simple tense ต้องเติม -s หรือ -es
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นช่องที่ 1 ไม่เติมอะไรเลย
เช่น
Ann works in the office.
แอน ทำงานในออฟฟิศ
(เติม -s ที่ work เพราะประธานเป็นเอกพจน์)
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาช่องที่ 1 ของ present simple tense ต้องเติม -s หรือ -es
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นช่องที่ 1 ไม่เติมอะไรเลย
เช่น
Ann works in the office.
แอน ทำงานในออฟฟิศ
(เติม -s ที่ work เพราะประธานเป็นเอกพจน์)
Sona goes to
school every day.
โซน่าไปโรงเรียนทุกวัน
(Sona เป็นประธานเอกพจน์กริยาลงท้ายด้วย o เติม -es)
โซน่าไปโรงเรียนทุกวัน
(Sona เป็นประธานเอกพจน์กริยาลงท้ายด้วย o เติม -es)
We go to
Chiangmai every Sunday
พวกเราไปเชียงใหม่ทุกอาทิตย์
(go ไม่เติม -s, -es เพราะประธาน we เป็นพหูพจน์)
พวกเราไปเชียงใหม่ทุกอาทิตย์
(go ไม่เติม -s, -es เพราะประธาน we เป็นพหูพจน์)
I want a breath
of fresh air.
ผมต้องการสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์
(want ไม่เติม -s, -es เพราะประธานเป็น 1)
ผมต้องการสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์
(want ไม่เติม -s, -es เพราะประธานเป็น 1)
Miss Suchada often buys a new
hat on Monday.
คุณสุชาดามักจะซื้อหมวกใบใหม่ในวันอาทิตย์
คุณสุชาดามักจะซื้อหมวกใบใหม่ในวันอาทิตย์
กริยาลงท้ายด้วย
-o และหน้า -o เป็นพยัญชนะให้เติม -es
เช่น
She goes to visit
her friend in the hospital every day.
หล่อนไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลทุกวัน
หล่อนไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลทุกวัน
He usually does his homework
in the evening.
เขามักจะทำงานบ้านในช่วงเย็น
เขามักจะทำงานบ้านในช่วงเย็น
ข้อยกเว้น : ถ้าหน้า -o เป็นสระ ( a, e, i, o, u ) ให้เติม -s ที่ท้ายกริยา เช่น
He always woos the
daughter of the king.
เขามักจะตามจีบลูกสาวพระราชาอยู่เสมอ
เขามักจะตามจีบลูกสาวพระราชาอยู่เสมอ
หมายเหตุ : กฎการเติม -ed (เพื่อทำกริยาให้เป็นช่องที่ 2
- 3) ก็คล้ายกับกฎการเติม s, es ยกเว้นกริยาจำพวก
irregular verbs
การใช้ Present Simple Tense
1) ใช้ present simple tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้กับการกระทำ หรือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ บอกเวลา (adverbs of time) เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอ คือ
1) ใช้ present simple tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้กับการกระทำ หรือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ บอกเวลา (adverbs of time) เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอ คือ
My watch keeps good
time.
นาฬิกาของผมเดินตรงมาเลย (เดินเป็นปกติวิสัย)
นาฬิกาของผมเดินตรงมาเลย (เดินเป็นปกติวิสัย)
In summer John
usually plays tennis once or twice a week.
ในช่วงหน้าร้อนจอห์นมักจะเล่นเทนนิส หนึ่งหรือ สองครั้งต่อสัปดาห์เสมอ
ในช่วงหน้าร้อนจอห์นมักจะเล่นเทนนิส หนึ่งหรือ สองครั้งต่อสัปดาห์เสมอ
Ann doesn’t drink tea very
often.
แอนไม่ได้ดื่มน้ำชาบ่อยนัก
แอนไม่ได้ดื่มน้ำชาบ่อยนัก
Sally changes her job every
year.
แชลลี่เปลี่ยนงานทำทุกปี
แชลลี่เปลี่ยนงานทำทุกปี
2)
ใช้ present simple tense กับสิ่งที่เป็นจริงตลอดกาล
หรือความจริงที่มีอยู่ทั่วไป เช่น
The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
Honey is sweet.
น้ำผึ้งมีรสหวาน
น้ำผึ้งมีรสหวาน
The earth moves round
the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
3)
ใช้ present simple tense กับแผนการ
หรือตารางเวลาที่วางไว้ล่วงหน้าซึ่งสิ่งที่วาง
แผนการไว้นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น
The concert this
afternoon starts at 13.15.
คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา 13.15 น.
คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา 13.15 น.
We go to New York
next week.
พวกเราจะไปกรุงนิวยอร์คสัปดาห์หน้า
พวกเราจะไปกรุงนิวยอร์คสัปดาห์หน้า
I sail for
America next Saturday.
ผมจะแล่นเรือใบสู่อเมริกาในวันเสาร์หน้านี้
ผมจะแล่นเรือใบสู่อเมริกาในวันเสาร์หน้านี้
4)
ใช้ present simple tense คู่กับ future
simple tense ในประโยคเงื่อนไขที่มี คำเชื่อมที่
แสดงเวลาเป็นอนาคตนำหน้า present simple tense และคำแสดงเวลาในประโยคเงื่อนไขที่กล่าวถึงนี้
คือ
When เมื่อ as soon as เมื่อ
Before ก่อน if ถ้า
unless ถ้า...ไม่ whenever เมื่อไหร่ก็ตาม
until จนกระทั่ง till จนกระทั่ง
หมายเหตุ: ใช้ present simple tense
กับ If Clause
(หรือ unless) ที่เป็นประโยคเงื่อนไขชนิดที่
1 เท่านั้น
โครงสร้าง : If + present simple, + ประโยคหลักมี will,
shall…
We shall start our journey when our advisor arrives.
พวกเราจะเริ่มการเดินทางเมื่อที่ปรึกษาของพวกเรามาถึง
พวกเราจะเริ่มการเดินทางเมื่อที่ปรึกษาของพวกเรามาถึง
Unless you take your off the brake the car won’t move.
ถ้าคุณไม่ปล่อยเบรกรถก็จะไม่เคลื่อนที่
ถ้าคุณไม่ปล่อยเบรกรถก็จะไม่เคลื่อนที่
She takes the boys to school before she goes to work.
หล่อนพาเด็กๆ ไปโรงเรียนก่อนที่หล่อนจะไปทำงาน
หล่อนพาเด็กๆ ไปโรงเรียนก่อนที่หล่อนจะไปทำงาน
I will be glad if it rains soon.
ผมจะดีใจมากถ้าฝนตก
ผมจะดีใจมากถ้าฝนตก
หมายเหตุ: ถ้าประโยคเงื่อนไขนั้นมีโครงสร้างใกล้เคียงกันมาก tense ของทั้ง 2
ประโยค จะอยู่ในรูปที่เสมอกัน
5)
ใช้ present simple tense เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือ
ในบทละครหรือในภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ได้อ่าน ได้เห็นหรือได้ฟัง และใช้
present simple tense กับกริยา say เป็ยการอธิบายเนื้อหาของหนังสือ
ที่ได้อ่านมา เช่น
In the film he plays the
central character of Charles Smithson.
ในบทภาพยนตร์เขาได้เล่นบทสำคัญของ Charles Smithson
ในบทภาพยนตร์เขาได้เล่นบทสำคัญของ Charles Smithson
Keats says, “A thing of
beauty is joy forever”.
คีธ กล่าวว่า สิ่งที่สวยงามคือความสนุกสนานชั่วนิรันดร์
คีธ กล่าวว่า สิ่งที่สวยงามคือความสนุกสนานชั่วนิรันดร์
6)
ใช้ present simple tense กับกริยาที่แสดงความรู้สึก
แสดงอารมณ์ หรือสภาวะทางจิตใจ ซึ่งโดยปกติแล้ว มักจะไม่นำไปใช้ใน present
continuous tense (ดูเพิ่มเติมจาก present continuous tense)
กริยาจำพวกนี้มี see, hear, love, like, hate เป็นต้น
เช่น
I hear you are
getting married.
ผมทราบมาว่าคุณจะเข้าพิธีแต่งงาน
ผมทราบมาว่าคุณจะเข้าพิธีแต่งงาน
I see there’s
been trouble in Bangkok again.
ผมเข้าใจว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ อีกครั้ง
ผมเข้าใจว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ อีกครั้ง
I like this girl very
much.
ผมชอบหญิงสาวคนนี้มาก
ผมชอบหญิงสาวคนนี้มาก
ตัวอย่างการใช้
I
go… / You go… / He goes… / They go…
She
sings a song. แปลว่า หล่อนร้องเพลง
He plays football. แปลว่า เขาเล่นฟุตบอล
She is not here. หรือ She isn’t here. แปลว่า หล่อนไม่อยู่ที่นี่
We are not drivers. หรือ We aren’t drivers. แปลว่า พวกเราไม่ใช่คนขับรถ
He plays football. แปลว่า เขาเล่นฟุตบอล
She is not here. หรือ She isn’t here. แปลว่า หล่อนไม่อยู่ที่นี่
We are not drivers. หรือ We aren’t drivers. แปลว่า พวกเราไม่ใช่คนขับรถ
หลักการใช้ Present Simple Tense สรุปได้ดังนี้
1.1 แสดงลักษณะความจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปเท่าใดก็ตาม
เช่น
The
earth moves around the sun. แปลว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
The sun rises in the east and sets in the west. แปลว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก
The sun rises in the east and sets in the west. แปลว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก
1.2
การกระทำที่เกิดขึ้นเสมอๆ เกิดขึ้นจนเป็นนิสัย มักจะมี adverb
of frequency ประกอบในประโยค เช่น every day, usually,
sometimes, frequently, always, naturally, generally, rarely, seldom, never etc.
เป็นต้น ตัวอย่างการใช้มีดังนี้
1.3
แสดงเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่างๆ
ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เช่น
I
go to Chiangmai in the afternoon. แปลว่า
ฉันจะไปเชียงใหม่ในตอนบ่าย
He
starts to study in five minutes. แปลว่า เขาจะเริ่มเรียนภายใน 5
นาที
1.4 ใช้กับสุภาษิต คำพังเพย เช่น
New
brooms sweep clean. แปลว่า ไม้กวาดใหม่ย่อมกวาดสะอาดกว่า
Money makes friend. แปลว่า เงินทองอาจทำให้ท่านมีเพื่อนฝูงมาก
Money makes friend. แปลว่า เงินทองอาจทำให้ท่านมีเพื่อนฝูงมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น